ฤดูกาลนี้มันเป็นฤดูกาลที่สร้างความกดดันให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ไม่น้อย เพราะมี ไลป์ซิ๊ก กับ ดอร์ทมุนด์ มาหอกข้าวแคร่แย่งแชมป์บุนเดสลีก้า ซึ่งปัจจุบัน ไลป์ซิ๊ก มีแต้มตามหลัง บาเยิร์น มิวนิค เพียงคะแนนเดียวเท่านั้น นั้นเป็นเพราะช่วงแรก บาเยิร์น ในยุค นิโก้ โควัช ทำผลงานได้ไม่ดี จนได้ ฮันส์ ฟลิก เข้ามาคุมแทนในเดือนพฤศจิกายน ทำให้พี่เสือสามารถกลับมาโชว์ฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง
ปัจจุบันถือว่า บาเยิร์น แหย่ขาเข้ารอบไปแล้วข้างนึง เพราะแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเลกแรก บุกไปเอาชนะ เชลซี ได้ 3-0 และ เชลซี ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็ต้องรับศึกสองด้านทั้งในรายการนี้และพรีเมียร์ลีกที่ต้องขับเคี่ยวกับทีมอื่นๆ เพื่อแย่งอันดับ 4 ในโควต้า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า
โดยก่อนหน้านี้ บาเยิร์น เคยมีประสบการณ์ในการเล่นกับทีมจากกรุงลอนดอนในรอบแบ่งกลุ่ม ที่เจอกับ สเปอร์ส สองนัด สกอร์รวม 10-3 และนัดที่ไปเยือนลอนดอน เป็น บาเยิร์น มิวนิค ที่เอาชนะไปได้ 7-2
เกมกับ เชลซี ทาง บาเยิร์น มิวนิค มีเปอร์เซนการครองบอลที่เหนือกว่า 65% แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังทีมจากเยอรมันมาได้สามประตูรวดจาก แซร์ก กนาบรี้ สองลูก และอีกประตูจาก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เก็บชัยในเลกแรกไปได้ 3-0 บาเยิร์น แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาพร้อมแล้วที่จะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรป หลังจากร้างความสำเร็จในรายการนี้มากว่า 7 ปี
ทั้งนี้เลกสอง จะแข่งกันในวันที่ 18 มีนาคม เชลซี ต้องชนะอย่างน้อย 3-0 เพื่อต่อเวลาพิเศษ หรือ 4-0 เพื่อพลิกแซงเข้ารอบต่อไป