มันเป็นสองสัปดาห์ที่ยากลำบากสำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล ที่เสียชนะไร้พ่ายในพรีเมียร์ลีก, สถิติชนะติดต่อกันยาวนานที่สุด และตกรอบแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยน้ำมือ แอตเลติโก มาดริด ที่ได้เปรียบจากเลกแรกที่เอาชนะทีมหงส์แดงไปได้ 1-0
หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็มาแพ้ วัตฟอร์ด 0-3 และตกรอบ เอฟเอ คัพ ด้วยการแพ้ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ 0-2
ฤดูกาลที่น่าทึ่งของ ลิเวอร์พูล เริ่มพังทลายลง แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะกู้หน้าคืนได้บ้างหากพวกเขาเอาชนะ แอตฯ มาดริด ผ่านเข้ารอบแชมเปี้ยนส์ ลีก และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก หนแรกในรอบ 30 ปี
แอตฯ มาดริด ยังอาศัยการเล่นเกมรับแบบมีวินัย หลังจากตุนสกอร์มา 1-0 และได้ความยอดเยี่ยมของ แยน โอบลัค ช่วยเซฟจังหวะอันตรายไว้ราวๆ 10 ครั้ง ส่วน อาเดรียน ของ ลิเวอร์พูล เซฟได้แค่สองครั้งเท่านั้นตลอดทั้งเกม แต่ ลิเวอร์พูล จะได้ประตูจาก จินี่ ไวจ์นัลดุม จบ 90 นาที สกอร์รวม 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษ
ช่วงต่อเวลาพิเศษ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ใช้เวลาสี่นาทีในการพา ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 2-0 ทว่า แอตฯ มาดริด มีโชค จากความผิดพลาดของ อาเดรียน เคลียร์บอลไม่ขาดมาเข้าทาง มาร์กอส ยอเรนเต้ ยิงเสียบเสาสองไป สกอร์รวม 2-1 จากนั้นสกอร์ก็ไหล แอตฯ มาดริด ได้จังหวะสวนกลับ เป็น มาร์กอส ยอเรนเต้ ที่มาเบิ้ลประตูที่สองให้ตัวเอง ส่ง ทีมตราหมีนำ 3-2 ช่วงท้ายการต่อเวลา อัลบาโร่ โมราต้า มายิงประตูตอกฝาโลงพา
แอตฯ มาดริด เข้ารอบไปด้วยสกอร์รวม 4-2
การป้องกันแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ของ ลิเวอร์พูล จบลงแล้ว แต่หนทางในพรีเมียร์ลีกยังอีกยาวไกล เพราะมีปัญหาเรื่องไวรัสโคโรน่า ทำให้พวกเขาต้องมานั่งลุ้นว่าจะเป็นยังไงต่อ เกมต่อไป ลิเวอร์พูล จะเจอกับ เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสัน พาร์ค ในวันที่ 16 มีนาคม ขณะที่ แอตเลติโก มาดริด จะรอเล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบต่อไป เพราะ ลา ลีกา ตอนนี้สั่งหยุดพักโปรแกรมการแข่งขันเป็นจำนวนสองเกม