หนึ่งในแมตช์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดใน แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่เป็นการเจอกันของ เรอัล มาดริด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่อาจจะได้ร่วมรายการนี้เป็นฤดูกาลสุดท้าย ก่อนที่จะโดนแบนห้ามเล่นในรายการยุโรป 2 ปี โดยมี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่เคยคุมทีม บาร์เซโลน่า เป็นเฮ้ดโค้ช และก็เป็น ซิตี้ ที่พลิกเอาชนะได้เในช่วงท้ายเกมตอนเหลือเวลา 12 นาที จากที่ตาม 0-1 พลิกมาเข้าป้ายด้วยสกอร์ 2-1
ครึ่งแรกทั้งสองฝ่ายมีโอกาสเข้าทำไม่ค่อยเยอะ แต่ก็มีหลายๆ จังหวะที่ อันแดร์สัน นายทวาร แมนฯ ซิตี้ และ ธิโบต์ กูร์กตัวส์ ผู้รักษาประตูของ เรอัล มาดริด ต้องออกแรงเซฟ ที่ใกล้เคียงที่สุดในครึ่งนี้คือจังหวะทำประตูของ คาเซมิโร่ ฝั่ง เรอัล มาดริด ทว่าไม่เป็นประตู จบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 0-0
ครึ่งหลัง เรอัล มาดริด อาศัยเกมรับที่รัดกุมแล้วอาศัยจังหวะสวนกลับและก็เป็นผล เมื่อ จูเนียร์ วินิซิอุส เล่นจังหวะสวนกลับ พาบอลตะลุยเข้ามาหน้ากรอบเขตโทษก่อนจะจ่ายบอลหักข้อมาให้ อิสโก้ ซัดเหน่งๆ พา เรอัล มาดริด ขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 60
อย่างไรก็ตามแนวรับ เรอัล มาดริด ต้องรับมือกับ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ป่วนแนวรับพวกเขาได้ตลอดทั้งเกม จนมาถึงนาทีที่ 78 เควิน เดอ บรอยน์ เปิดบอลให้ กาเบรียล เชซุส โหม่งเข้าไป ตีเสมอให้ ซิตี้ 1-1 ถัดมาได้ 5 นาที ดานิเอล การ์บาฆัล รวบ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ร่วงในกรอบเขตโทษ เป็น เควิน เดอ บรอยน์ สังหารเข้าไปไม่พลาด ต่อมาในนาทีที่ 89 เซร์กิโอ รามอส ไปสอย กาเบรียล เชซุส โดนใบแดงไล่ออกสนาม และเป็นซิตี้ ที่เอาชนะไปได้ 2-1
ชัยชนะในเกมนี้ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เลกสอพวกเขาจะเล่นง่ายขึ้นเยอะ ขอแค่เสมอในเลกสองพวกเขาก็จะผ่านเข้ารอบไปทันที และ เซร์กิโอ รามอส กองหลัง เรอัล มาดริด จะติดโทษแบนลงสนามไม่ได้ เชื่อเหลือเกินว่านัดนั้นแนวรับ ราชันชุดขาวจะมีปัญหาอย่างแน่นอน